การจากลาโดยไม่มีวันกลับของคนอันเป็นที่รักไม่ว่าจะได้เตรียมใจไว้หรือไม่ก็ยากจะรับมือกับมัน การร้องให้ฟูมฟายจึงไม่ใช่เรื่องเสียหายเมื่อชีวิตหลังจากนี้จะมีช่องว่างในหัวใจที่ถูกทิ้งไว้และบางครั้งต้องใช้เวลาที่จะถมมันให้เต็ม แต่เพราะชีวิตยังต้องเดินต่อไปคนที่จากไปก็คือได้ผ่านพ้นความยากในการใช้ชีวิตหรือหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานกับการต่อสู้กับอาการป่วย แต่เมื่อหัวใจยังรับไม่ได้ที่จะต้องสูญเสียจึงพยายามยื้อที่สุดเพื่อที่จะให้คนที่เรารักอยู่กับเราให้นานที่สุด แต่บางครั้งโลกก็ไม่ใช่จะสวยงามเสมอไปเมื่อการรั้งไว้เพื่อเหตุผลของคนที่จะอยู่กลับมอบความทุกข์ทรมานเจ็บปวดสังขารให้กับคนที่พร้อมจะไป แต่มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์จะมากจะน้อยก็ยังคงต้องพยายามตอบสนองความสุขทางใจตนเป็นปฐมจนทำให้สมองไม่ทันคิดถึงอีกมุม
เมื่อการใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายของคนบางคนอาจเป็นบทเรียนให้กับคนอีกคนที่ยังต้องมีชีวิตต่อไป เรื่องราวที่มักถูกหลงลืมนี้จึงถูกถ่ายทอดออกมาเพื่อให้ฉุกคิดถึงอีกมุมที่ไม่เคยมองเห็น และทำให้เวลาที่ควรจะเป็นเวลาที่มีคุณค่าได้สูญสลายไปโดยที่ทิ้งไว้แต่ความทรงจำที่ไม่สวยงามนัก เพราะนี่คือสัจธรรมของการเกิดแก่เจ็บตายการพานพบเพื่อการพลัดพรากไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง และกับเรื่องนี้คือการมอบบทเรียนชีวิตในการมองความตายและการจากไปอย่างมีคุณค่าต่อคนที่จะอยู่ แต่เรื่องประมาณนี้แม้คือเรื่องเล่าที่เก่าแต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ล้าสมัย ดังนั้นการจะเล่าให้ดูไม่เชยและไม่ดูจงใจจึงต้องอาศัยองค์ประกอบและชั้นเชิงในเชิงสร้างสรรค์ และเรื่องชั้นเชิงที่ว่านั้นกลับเก่าเก็บไม่ต่างกันจนอาจเรียกว่าพล็อตน้ำเน่าได้ ทว่างานนี้กลับดีพอที่จะเล่าเรื่องน้ำเน่าให้สวยงามจนไม่เหลือกลิ่นและสีของน้ำเน่าได้อย่างน่าสนใจ Chocolate
เรื่องย่อ
เด็กชายคนหนึ่งอยู่กับแม่ตามลำพังเลี้ยงตัวด้วยการเปิดร้านอาหาร รสมือและหัวใจในการทำอาหารของแม่ได้สร้างทัศนคติต่ออาหารให้เด็กน้อยจนกลายมาเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดี วันหนึ่งเด็กหญิงผู้หิวโหยเดินเข้ามาในร้านและหนึ่งมื้ออาหารปรุงสุกใหม่ก็ได้สร้างความอบอุ่นให้กับกระเพาะที่ว่างเปล่า และความอบอุ่นนั้นก็ตรึงใจเด็กหญิงเสมอมาแล้วการสนทนาหลังจากนั้นของทั้งสองก็มีบทสรุปว่าเด็กหญิงสามารถมากินข้าวที่ร้านได้เสมอและเด็กชายจะทำช็อกโกแลตชาช่าไว้รอแต่เธอคนนั้นก็ไม่มา… แล้วหลังจากนั้นชีวิตจริงก็ตามหาพวกเขาจนเจอ เมื่อเด็กชายนั้นกลายเป็นหนึ่งในทายาทของกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลที่พ่อผู้จากไปหอบหิ้วเขากับแม่หนีความวุ่นวายของชีวิตมาอยู่อย่างเรียบง่าย และแล้วเขาและแม่ต้องจากความเรียบง่ายนี้ไป
อีคัง (ยุนคเยซัง) คือเด็กชายคนนั้นและเขามีคู่แข่งที่จะเป็นผู้สืบทอดธุรกิจที่เป็นลูกพี่ลูกน้องคืออีจุน (จางซึงโฮ) ที่เป็นเหมือนคู่ขัดแย้งหลัก แต่หนึ่งในคนไข้ที่บ่งชี้ว่าเป็นคนไข้ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจบางอย่างมาคือมุนชายอง (ฮาจีวอน) และชื่ออีคังก็ไปสะกิดความทรงจำของมุนชายองเพราะมุนชายองก็คือเด็กหญิงผู้หิวโหยวันนั้น และหมออีคังก็คือเด็กชายที่อ่อนโยนจิตอารีในวันนั้นเช่นกันและเขาคือรักแรกของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้เธอรักการทำอาหารจนกระทั่งกลายเป็นเชฟฝีมือเลิศล้ำ ทว่าการมาเจอกันครั้งนี้มีแค่มุนชายองที่จำได้ แต่เมื่ออีคังต้องไปลิเบียและประสบเหตุร้ายมุนชายองก็คิดไปว่าเขาตายแล้วจนเมื่ออีคังที่รอดชีวิตกลับมาเขากลายเป็นเพื่อนตายของแฟนของมุนชายอง และเมื่อหนึ่งคือคนที่แสนดีที่รักเธอกับอีกหนึ่งคือรักแรกของเธอ เธอไม่อาจเก็บไว้ได้ทั้งสองคนมุนชายองจึงหลีกเร้นไปไกลจากสายตา
งานน้ำเน่าปนน้ำดีที่น้ำดีบำบัดน้ำเน่าจนใสสะอาดและงดงาม
เรื่องนี้เรื่องหลักคือเรื่องของความรักของคนสองคนที่เป็นดั่งพรหมลิขิตที่มีฉากหลังเป็นเรื่องของการแก่งแย่งมรดกในตระกูลใหญ่ แล้วความรักจะต้องถูกพัฒนามาจากการใช้ชีวิตร่วมกันและได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันเรื่องนี้ยังแข็งแรงแต่ก็ส่งกลิ่นตุๆโชยมาตั้งแต่ต้น แต่ทันทีที่คนสองคนที่ถูกลิขิตให้เป็นคู่กันต้องมาพบกันในสถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายก็กลายเป็นการเริ่มเติมน้ำใสมาในน้ำเน่า และทำให้น้ำดีนั้นเริ่มกลบกลิ่นและสีของน้ำเน่าที่เห็นช่วงแรกไปได้ทีละน้อยด้วยการเล่าเรืองของผู้ป่วยระยะสุดท้ายหลากหลายมิติเรื่องราวพื้นฐานในการมาอยู่ที่นี่หลายเหตุผลที่ผู้ป่วยยังคงใช้ชีวิตอยู่ ซึ่งถ้าจะเล่าให้หดหู่ก็ได้แต่บทเลือกเล่าในมุมของการใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความหวังในความสิ้นหวัง นั่นคือในความสิ้นหวังที่จะหายจากอาการป่วยหรือรู้ตัวว่ารอเวลาที่จะจากไป แต่ยังมีความหวังว่าจะมีชีวิตที่มีความสุขได้ใช้ชีวิตในทุกนาทีกับคนที่รักอย่างคุ้มค่า
ด้วยการเล่าในแง่มุมความสัมพันธ์ที่หลากหลาย ทั้งความรักของพ่อแม่ พี่กับน้อง มิตรภาพระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ที่บางครั้งมุมมองที่ซื่อใสของเด็กก็ทำให้ผู้ใหญ่มองอะไรได้กระจ่างขึ้น หรือกระทั่งความรักของหนุ่มสาวที่แม้จะเหลือเวลาอยู่ด้วยกันอีกไม่มากแต่ก็ต้องมีความรักที่คุ้มค่า ผ่านสายตาจากการทำอาหารเพื่อเยียวยาหัวใจผู้ป่วยที่เหมือนเป็นภารกิจหลักที่จะต้องมีอาหารอย่างน้อยหนึ่งเมนูในหนึ่งตอน ซึ่งถูกเล่าตัดกับมุมมองทางการแพทย์ที่สัตย์ซื่อต่อสิ่งที่เห็นแต่บางครั้งความจริงก็ทำร้ายเพราะผู้ป่วยที่มาที่นี่ทางการแพทย์ไม่สามารถเยียวยาได้ทำได้แค่ยืดเวลาออกไป แต่การปลอบประโลมด้วยการเลี่ยงความจริงกลับทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มีรอยยิ้ม แล้วให้สองส่วนนี้มาเรียนรู้ซึ่งกันและกันจนหลอมรวมกันได้ในที่สุด
นั่นคือทางการแพทย์สามารถยืดเวลาให้คนไข้ได้มีเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อมีความทรงจำช่วงสุดท้ายที่ดีผ่านจานอาหาร ที่เรียกได้ว่ามีพัฒนาการสัมผัสได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของมิติตัวละครที่ค่อยๆเปลี่ยนไม่ใช่จู่ๆจะดีก็ดี จึงทำให้เรื่องที่เล่าในเรื่องของการเตรียมใจที่จะต้องจากไปมีพลังและเป็นมุมมองที่เปลี่ยนชีวิตตัวละครหลักได้อย่างน่าเชื่อถือเพราะเชื่อเถอะว่าคนดูเองยังต้องฉุกคิดในบางมุม จึงกลายเป็นความใสสว่างงดงามบนความโศกกับการรับรู้ถึงสัจธรรมของการลาจาก เพราะเมื่อเลี่ยงมันไม่ได้ก็ยิ้มทั้งน้ำตายอมรับแล้วให้การจากไปของเขาเป็นความหมดห่วงและปลดเปลื้องพันธนาการทางใจ เรื่องน้ำดีแบบนี้จึงสามารถทำให้เรื่องน้ำเน่ากลายมาเป็นงานที่ดูแล้วประทับใจ กลายเป็นความใหม่ในความเก่าจนไม่เหลือกลิ่นและสีของน้ำเน่าไว้แม่แต่น้อย
พวกเขาไม่ได้รอความตาย แต่พวกเขากำลังใช้ทุกวินาทีที่เหลือยู่อย่างรู้คุณค่า
“คุณค่าของชีวิตตัดสินจากความรักที่เราให้ไป มิใช่ความรักที่เราได้มา (เอพิคเตตัส)”“ถึงเรื่องราวของเราจะจบลงตรงนี้ แต่เราต่างรู้ดีว่านี่ไม่ใช่จุดจบ เราอาจหลงทางอีกในวันใดวันหนึ่ง และความสิ้นหวังที่ยังไม่จากหายก็อาจฉุดเราล้มลงอีกครั้ง แต่ตราบใดที่ไม่ทิ้งความหวังก็ไม่มีสิ่งใดทำลายเราได้ขอให้จดจำความจริงข้อนี้ไว้” เพราะการจากไปของใครบางคนอาจเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตหนึ่ง แต่บางครั้งหากลองมองในอีกมุมก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอีกหลายชีวิตที่ยังคงต้องอยู่ เมื่อการจากไปได้มอบมุมมองบางอย่างให้สมองและหัวใจพลันได้คิด เพราะมีความรักจึงมีความหวังการใช้ชีวิตของผู้ป่วยในศูนย์ดูแลแห่งนี้จึงเริ่มต้นทุกอย่างด้วยความรัก ความรักจึงสามารถทำให้มนุษย์ทำทุกวิถีทางที่จะยืดเวลาของคนที่เรารักให้นานที่สุด แม้ความจริงเหรียญจะมีสองด้านเสมอการยืดเวลาบางครั้งก็คือการใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีคุณค่า
แต่บางครั้งกลับสร้างความทรมานให้กับคนป่วยที่ถูกสื่อผ่านอาหารที่เป็นเครื่องเยียวยาหัวใจเช่นเดียวกับจาจังมยอนกับคุณตาที่ต้องการออกไปกินจาจังมยอนที่ร้าน แม้ว่ารสชาติจะห่วยแต่มันคือความหวังที่ลูกชายจะมารับกลับไป หรือแซนด์วิชที่กินแล้วมีความสุขกับเด็กน้อยที่มีวันเกิดปีสุดท้ายการอธิบายความสุขง่ายๆของเด็กที่ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มแต่มันคือความใสซื่อที่ทำให้มองเห็นว่าชีวิตที่คุ้มค่าแล้วเป็นแบบไหน การได้ใช้ชีวิตมานานหรือการใช้ชีวิตที่มีความสุขทุกนาทีเค้กราสเบอรี่ที่สามารถปลดปล่อยความรู้สึกของหญิงชราหนึ่งคนที่เดินขึ้นเขาไปหามาให้กับหญิงชราอีกคนที่รักและเอาใจใส่เสมอมา ซุปกิมจิรสชาติมือแม่ที่จากไปไกลกับความหมายของคำว่าแม่ที่แท้ หรือกระทั่งซุปเกี๊ยวที่เหมือนเป็นการปลดเปลื้องพันธนาการหัวใจของคนจากไปและคนที่ยังอยู่ เมื่อทุกเรื่องราวมันเริ่มมาจากความรักการใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรักในทุกนาทีก็คือการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า
และก็เป็นเช่นกันที่ความรักสามารถสร้างเหตุผลของคนบางคนให้ได้กลับมาอยู่ใกล้กับคนที่รักแม้ไม่รู้ว่านาทีไหนที่ความทรงจำเกี่ยวกับเขาจะเลือนหายไป นั่นคือความรักทำให้ทุกวินาทีมีคุณค่า ความรักทำให้มีความหวังแม้ว่าจะรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางหรือไม่มีปาฏิหาริย์ แต่การมีความหวังก็ทำให้หัวใจชุ่มชื้น และการได้ใช้ชีวิตที่มีความทรงจำที่ดีเป็นความทรงจำที่สวยงามในช่วงท้ายก็คือการได้ปลดปล่อยหัวใจให้หลุดพ้นจากพันธะ เมื่อคนที่เคยโกรธเกลียดก็ยังให้อภัย อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ การแต่งงาน การได้เป็นมนุษย์อวกาศน้อยๆก็คือการใช้ชีวิตที่มีความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต และถึงความจริงการจากไปก็ไปพร้อมความสุขที่ได้มีความทรงจำที่ทรงคุณค่าร่วมกัน และด้วยบทเรียนของการมีชีวิตที่มีคุณค่าในทุกนาทีทั้งที่รู้ตัวเองว่าไม่มีทางรอดมันก็คือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ให้คนที่ยังอยู่ได้รู้ว่า “เวลามีคุณค่าขนาดไหน”
เสน่ห์ที่ล้นเหลือหลอมรวมกับพัฒนาการทางด้านบทที่แนบเนียนจึงได้พลังดึงดูดระดับสูง
เรื่องนี้ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือการมีเสน่ห์บนความธรรมดาของฮาจีวอนคือแรงขับเคลื่อนที่ชัดเจน ไม่แน่ใจนักว่าผู้เขียนรู้สึกคนเดียวหรือไม่ที่เมื่อมีตัวละครที่เป็นคนธรรมดาที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ธรรมดาทั้งฐานะหรืออิทธิพลเรามักจะเทใจให้และนั่นคืออิทธิพลของความน้ำเน่ากระมัง แล้วถ้ามองอย่างเป็นธรรมเรื่องนี้ฮาจีวอนมีเสน่ห์ในแบบที่บทต้องการให้เป็น ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่านักแสดงอย่างฮาจีวอนคือคนที่เสน่ห์และพลังดาราสูงมากแต่ถ้าลองดูให้ดีจะเห็นว่าเธอสามารถมีเสน่ห์อย่างที่บทต้องการได้เสมอ เช่นใน Empress Ki ที่เมื่อบทต้องการให้เธอฉายเสน่ห์ออกมาแบบไหนเธอจะรับผิดชอบมันได้อย่างไร้ที่ติ ดังที่เห็นความงามสง่าดุจนางพญาในเรื่องนั้นและเป็นหญิงสาวธรรมดาๆในเรื่องนี้ที่บทมุนชายองก็คือศูนย์กลางของเรื่องที่จะแจกจ่ายมิติทางอารมณ์ให้กับตัวละครรายล้อมและเป็นตัวละครที่เปลี่ยนชีวิตคน
ทำให้บทนี้เป็นตัวกำหนดพัฒนาการทางหัวใจหรือความเปลี่ยนแปลงของบทอีคังของยุนคเยซัง เพราะหากลองพินิจดูมุนชายองชัดเจนว่าชอบอีคังและความชอบนั้นก็ทำร้ายเพียงเธอ แต่กับอีคังเริ่มที่ความไม่ชอบจนเกลียดจนทำให้ช่วงต้นคนดูจะรู้สึกไม่ดีกับความไร้เหตุผล แต่เมื่อเวลาผ่านไปทีละตอนหัวใจคนดูก็เริ่มเปลี่ยนไปกับพัฒนาการทางใจของอีคังที่ความเย็นชาค่อยๆสลายไปทีละน้อยจนมารู้ตัวในตอนท้าย ซึ่งอาจใช่ที่บทวางพัฒนาการตัวละครออกมาอย่างดีจนค่อยๆได้ใจไปโดยไม่รู้ตัวและบทก็ดีพอที่จะให้ตัวละครรู้ตัวในเวลาที่เหมาะสมทำให้มีเวลากอบโกยหัวใจ ซึ่งส่วนหนึ่งคือบทมันเอื้อให้แต่ถ้ายุนคเยซังทำไม่ได้ตามเจตนาก็สร้างมิติที่ลงตัวให้ตัวละครไม่ได้ และด้วยความที่ปัจจัยในพัฒนาการของตัวละครมาจากเรื่องความงดงามของชีวิต จึงมองเห็นชัดเจนว่าเสน่ห์ของฮาจีวอนคือเคมีที่เข้ากันอย่างลงตัวกับบทที่มีพัฒนาการของยุนคเยซัง
ทำให้แค่เรื่องของคนสองคนก็มีพลังพอพาหัวใจคนดูไปกับพวกเขา ยังไม่รวมถึงมิติทั้งรักทั้งเกลียดระหว่างอีคังกับอีจุนที่จางซึงโฮเล่นเป็นคนดีที่อยู่ในการเลี้ยงดูที่ผิดทำให้เดินทางผิดไปทางใจบ้าง ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเพราะการได้รู้จักกับมุนชายองและกลายเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุดแต่ก็หลุดพ้นที่สุดเช่นกัน ซึ่งจางซึงโฮแสดงให้เห็นว่าที่เคยผ่านตามาสองสามเรื่องเรื่องนี้คือดีที่สุดเท่าที่เคยดูมา และแน่นอนว่าบทสมทบที่มีมากมายเพราะมีเรื่องราวมากมายนักแสดงน้อยใหญ่ก็ยังทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะในทุกเรื่องจะสามารถสร้างความอิ่มเอม โศกซึ้ง ตื้นตันปนเศร้าเคล้าน้ำตาได้ในทุกเรื่อง ด้วยงานด้านภาพที่เสนอตัวเป็นงาน Feel Good ชั้นดีที่เกาหลีถนัด นั่นคือภาพทิวทัศน์ที่งดงามมาพร้อมกับเพลงเพราะๆ ยิ่งได้การแสดงที่ได้ใจบนความน้ำเน่าที่มักจะเร้าอารมณ์อยู่แล้วจึงทำให้ดูสวยงามในทุกแง่มุม
นี่คืองานชั้นดีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเมื่อดูแล้วรู้สึกดีกับหัวใจและมอบความคมคายให้ได้ฉุกคิดแม้ว่าถ้าเอาแบบละเอียดบทยังมีบ้างที่ละเลย หลงลืม หาทางลงง่ายหรือโลกสวยเกินไปให้เห็นและทำให้ในส่วนของงานด้านบทอาจไม่ถึงกับไร้ที่ติ แต่ก็คงจะใจร้ายเกินไปที่จะเอามาเป็นตัวตัดสินหรือให้เป็นรอยให้หัวใจเมื่อการดูซีรีส์ (ละคร) บางเรื่องมันมีจุดประสงค์ของการดูอันมาจากจุดประสงค์ของการสร้าง เมื่อจุดประสงค์ของเรื่องนี้ชัดเจนว่ามีเจตนาให้มองชีวิตกับการใช้เวลาให้คุ้มค่าเพื่อถนอมทุกช่วงเวลาที่สวยงามไว้ให้นานที่สุด หรือการพยายามทำให้เวลาทุกนาทีคือคุณค่าในการใช้ชีวิตผ่านมุมมองของการจากไปได้อย่างสวยงาม แยบยล โศกซึ้งแต่ไม่หม่นเศร้าแล้วเมื่อดูแล้วรู้สึกได้เช่นนั้น ตามที่บทต้องการให้เป็น ที่สำคัญมาพร้อมความเป็นสัจธรรมไม่เห็นความจงใจที่จะยัดเยียดหรือบีบน้ำตา
มันคือความดีงามของการเขียนบทของเกาหลีที่สามารถเล่าเรื่องเก่าให้ดูใหม่ ส่วนหนึ่งมาจากการแสดงที่มีเสน่ห์และการถ่ายทอดบทที่ได้ใจทำให้แม้จะเห็นเป็นสองส่วนแต่ก็ไม่ได้ทำให้เป็นรอยแยก นั่นคือในส่วนของการเปลี่ยนแปลงจากข้างในเนื่องจากผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งของสองทายาทตระกูลใหญ่ผ่านการเยียวยาหัวใจด้วยอาหารจากรสมือของเธอ กับอีกส่วนหนึ่งคือการแย่งชิงมรดกในการเป็นทายาทสืบทอดธุรกิจกลุ่มบริษัทที่ขีดเส้นความรักความชังไว้ แต่เรื่องราวทั้งสองส่วนนี้กลับเป็นส่วนเสริมที่เกื้อหนุนกันไปจนสุดทาง ที่ถึงที่สุดการเอาชนะก็ไม่ได้ช่วยอะไรแต่การได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็นอาจสวยงามกว่า ด้วยเรื่องราวดีๆที่มีให้ได้คิด งานด้านภาพที่สวยทำให้ดูแล้วรู้สึกดีที่ได้ดูได้เรียนรู้ไปกับตัวละครก็เพียงพอแล้วที่จะมองข้ามริ้วรอย เพราะการดูเรื่องนี้ก็เพื่อเยียวยาหัวใจแล้วเรื่องนี้ก็ทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ แค่นี้ก็งดงามและอบอุ่นหัวใจมากมาย